american psycho

american psycho หนังสยองขวัญในตำนานที่โล่งกำเนิดผู้แสดงนำฝ่ายชาย ที่เวลามีหน้าที่ให้ลดท้อง เพิ่มท้องในเวลาจำกัด แต่ว่าเฮียเอ็งก็ทำเป็น และก็ผอมบางได้น่่่ากลัวมาแล้ว เขาคนนั้นเป็น คริสเตียน เบล !!!! หลายท่านเอ๊ะดวงใจว่า ดารานำชายสุดหล่อ บิดาล่ำ่กางทแมน อย่างเฮียเบลมาำทำอะไรบ้างที่อยู่ในหนังสยองขวัญ แม้กระนั้นหารู้ไม่ว่า เขาแจ้งมีเหตุที่เกิดจากบทโรคทางจิต

รวมทั้งน่าสะพรึงกลัวมาแล้ว ประเด็นนี้เป็นหนังที่ว่าด้วยเรื่องราวของ แพทริค เบทแมน (บิดาล่ำ คริสเตียน เบล) ผู้ชายประธาน พี แอนด์ พี ซึ่งเขาเองมีชีวิตที่น่าอิฉฉา เพราะเหตุว่าเขาเองมีชีวิตสุด Life Style มากมายๆเขาจำต้องเพรียบพร้อมทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระนั้นในเมื่อมีผู้ที่มีรสนิยมดียิ่งกว่า หรือ ข้าวของที่ดีมากกว่านั้น ช่วงกลางคืนนั้นเองในระหว่างที่ดาราหนังสมทบผู้อื่นอย่าง “ดาโกตา แฟนนิง”

ก็จัดว่าถ่ายทอดก้าวหน้า เพียงแค่แอบเสียดายที่บทของคุณค่อนจะไม่มีอะไรงงเต็ก ใส่เข้ามาราวกับจะมีความนัยยะสำคัญบางสิ่งบางอย่าง แต่ว่าตอนท้ายหนังก็แค่จับเข้ามาเพิ่มให้มองเต็มแล้วก็มีอะไรมากขึ้นเพียงแค่นั้น เหมือนกันกับ “ยูจีนิโอ มัสตรันเดรีย”, “เดวิด เดนแมน” หรือ “ไกอา สวัวเดลสลาโร” ก็มาเป็นเพียงแค่ผู้แสดงเสริมแบบผิวเผินไปนิดกระนั้นในรูปภาพโดยรวมแล้ว The Equalizer 3

ก็ยังสามารถใช้กลุ่มคำยอดฮิตที่ว่า “ดุเดือดไม่เกรงใจ” ได้อยู่ american psycho เนื่องจากหนังรู้จักตนเองดีว่าผู้ชมอยากได้มองเห็นอะไร ถึงแผนการบทหนังจะออกจะซ้ำจากจำเจรวมทั้งเล่นง่ายไปนิดหน่อย มีกลเม็ดเด็ดพรายได้ไม่ค่อยมากมายซักเท่าไหร่ แต่ว่าความผิวเผินพวกนั้นก็ช่วยให้ผู้ชมเสพหนังประเด็นนี้ได้เต็มอรรถรสความเบิกบานใจได้ดิบได้ดีขึ้นด้วยอย่างเช่นเดียวหนังยังมีงานภาพรวมทั้งโลเคชั่นงามๆของอิตาลีให้จูงใจ

และก็งานการประพันธ์เพลงประกอบของ “มาร์เซโล ซาร์วอส” ของหัวข้อนี้ก็แอบน่าดึงดูดไม่น้อย โดยยิ่งไปกว่านั้นเพลงที่หนักเสียงเบสกับลีลาท่าทางและก็เหตุการณ์บู๊มุ่งมั่นของหนัง มันช่วบบิ้วท์อารมณ์ได้ดิบได้ดี (ถึงจะเสียงดังกระโดดไปบ้างก็เถิด) โดยเหตุนี้ The Equalizer 3 ก็เลยเป็นงานกินเลี้ยงปลดเกษียณของ โรเบิร์ต แมคคอลล์ ที่ยังรสดีใช้ได้ ถึงเครื่องปรุงต่างๆจะยังไม่ถึงหน่อยเดียว แม้กระนั้นมันก็ตอบปัญหาของตนเองได้อย่าง..ดุเดือด!

american psycho

american psycho (2000) อเมริกัน ไซโค

ภาพยนตร์ดัดแปลงปรับปรุงแก้ไขจากนิยายที่รุนแรงและสร้างกระแสของ อีสตัน เอลลิส เรื่องราวเสียดสีชีวิตที่ชิงดีชิงเด่นแล้วก็เต็มไปด้วยกิเลศราคะ โดยเกิดขึ้นในปลายยุค 1980 ผ่านสายตาของฆาตกรโรคจิตผู้ที่จะพาผู้ชมก้าวเข้าสู่จิตใจของเขา และเข้าใจในแรงกระตุ้นที่ทำให้เขาแสดงความเหี้ยมโหดออกมาภายใต้ความสวยหรูของเครื่องเพชรพลอยจากดีไซเนอร์เป็นที่รู้จัก แล้วก็ผลิตภัณฑ์เสริมกิริยาท่าทางชั้นดีเลิศ แพทริค เบทแมน (คริสเตียน เบล)

ดูเลิศ เด็ด เหมือนกับทุกๆคน และก็ยิ่งเขาพยายามทำตัวให้กับบรรดาวัยรุ่นยัปปี้ในวอลสตรีท เขายิ่งสูญเสียการควบคุมตัวเอง จนกระทั่งทำให้ระเบิดความรุนแรงด้วยการฆ่าที่วิปริต ซึ่งโน่นทำให้ แพทริค รู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าใครๆสิ่งที่ถูกใจอีกอย่างเป็นเจตนาเชย ออกแบบของผู้คนต่างดาวแบบยอดฮิตที่เรียกว่า Grey Alien เป็นรูปลักษณ์ที่หากแม้อิงจากคำพูดกล่าวให้การคนเห็นที่มากที่สุด

แม้กระนั้นมันก็มิได้ยั่วยวนใจความพอใจคนชอบดูหนังได้มากแล้ว เนื่องจากว่าถูกใช้ซ้ำจำนวนมาก พวกเราได้มองเห็นผิวสีเทาไม่มีขน หัวโต ตาดำโต ตัวเล็กแล้วก็แขนขายาวในสื่อนับครั้งไม่ถ้วน แต่ว่าดัฟฟิลด์กับกลุ่มก็ทำให้มันมีเนื้อหาอะไรบางอย่างที่ทำให้เกิดความรู้สึกว่าแตกต่างกัน american psycho เริ่มจากนิ้วเท้าที่เคลื่อนเหมือนนิ้วมือ และก็มีพลังจิตบังคับข้าวของได้ยิ่งกว่านั้นการไล่ล่าที่ประสานพลังจากยูเอฟโอ

ซึ่งส่องแสงตรึงการเคลื่อนไหวได้ก็ทำให้แรงกดดันมันเอาจริงเอาจังขึ้นอีก และก็ที่สำคัญเป็นเอเลียนมิได้มีดีไซน์เดียว นี้ทำให้มันมองน่าดึงดูดขึ้นเมื่อเอเลียนตัวอื่นๆเริ่มปรากฏกายและก็ทำให้การเอาตัวรอดจำต้องแปลงแนวทางไปด้วย อันนี้ทำเป็นดีเยี่ยม จุดนี้ทำให้ระหว่างมองเชื้อเชิญคิดเช่นกันว่าบางคราวการนำเสนอผีเปรตของไทยในเชิงเอเลียนนี้ก็อาจส่งผลให้เข้าถึงความเป็นสากลได้เช่นเดียวกัน มันอยู่ที่แนวทางคิดรวมทั้งการออกแบบจริงๆ

สิ่งที่โชคร้ายสำหรับหนังหัวข้อนี้ ถึงแม้ส่วนตัวจะค่อนข้างจะถูกใจเป็น ถึงแม้หนังมันจะมีไอเดียที่ค่อนข้างจะน่าดึงดูด แม้กระนั้นมันไม่ใช่หนังไซไฟตื่นเต้นแบบที่ผู้ชมทั่วๆไปจะมุ่งหวังได้ดู เนื่องจากว่าเหมือนกันกับหนังก่อนหน้าของดัฟฟิลด์อย่าง ‘Spontaneous’หมายถึงเอเลียนหรือความห่างเหินต่อผู้คนของยรินน์เป็นเลิศเปรียบเทียบที่สำคัญของนักแสดง ที่จะจำต้องก้าวผ่านปมในจิตใจไปให้ได้

มันทำให้พักหลังของหนังที่เริ่มเฉลยคำตอบเงื่อนอดีตกาลไปกับภาวการณ์การไถ่บาปของผู้แสดงนั้นจำเป็นต้องใช้การแปลความของผู้ชมพอเหมาะพอควรงานที่เกี่ยวข้องกับด้านการประพันธ์บทหนังของ ยูจิ ซากะโมโตะ ยังคงลึกซึ้งและก็ปลื้มปิติเข้าไปสู่ห้วงวังวนในแนวความคิดของผู้คนดังเช่นว่าเดิม โดยที่ในคราวนี้มีความท้าที่จำเป็นต้องเผยและก็ขยายความผ่านผู้แสดงทั้งยังเด็กและก็คนแก่ที่เป็นแกนหลักของเรื่อง

แต่ว่าหนังก็สามารถสร้างองค์ประกอบผ่านบทหนังออกมาได้ร่วมยุค ด้วยการร้อยเรียงเรื่องราวเป็นลำดับขั้น ผ่านมุมมองแล้วก็สายตาของนักแสดงนั้นๆในเหตุเดียวกันได้อย่างจัดจ้าและก็ยิ่งได้งานดูแลชั้นยอดของ ฮิโรคาสุ วัวเรเอดะ มาร่วมผสมโรงด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ MONSTER เปลี่ยนเป็นอีกหนึ่งงานที่น่าคลั่งไคล้ตามนำไปด้วยอีกรอบ จำเป็นต้องเห็นด้วยเลยว่าความสามารถกระบวนการทำหนังของวัวเรเอดะ

american psycho

รีวิว

นี่เป็นต้นแบบของหนังฆาตกรโรคจิตมาดเริ่ดที่มานะจะแอบความโรคทางจิตไว้ภายใต้ความดูดีหล่อแล้วก็เพอเฟคต์ของผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งระเบิดความรุนแรงของอารมณ์ที่หลบไว้ด้วยการฆ่าคนหนังเล่าในตอนยุค 1980 โดยได้ไอเดียมาจากนิยายขายดีเป็นเทน้ำเทท่าของ Eastun Elis โดยเล่า แพทริค เบทแมน (Christian Bale)ชอบเน้นย้ำการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของนักแสดงผ่านงานถ่ายรูปของเขา

เขามีอาชีพเป็นดีไซน์เนอร์ดัง ดำรงชีพเลิศหรู แต่งตัวเริ่ด ด้านนอกที่ดูเลิศหรูรวมถึงเชิญชวนให้หลงไหล แต่เขาก็จำเป็นต้องอุตสาหะประพฤติตัวให้กับสังคมที่แสนกระแดะกระแด๋นั้น american psycho ยิ่งเขากระทำตนให้กับสังคมเขาก็ยิ่งเกิดความรุนแรงในใจเขา รวมทั้งเมื่อมันลำบากใจจนกระทั่งทนไม่ไหว เขาก็เริ่มทำการฆ่าคนด้วยวิธีการที่แปลกประหลาดเพื่อระบายตัวเอง ที่ติดต่อออกมาได้อย่างถ่องแท้ซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง

หนังหัวข้อนี้ถือว่าเป็นหนังเก่าพอเหมาะพอดีแล้วขอรับเพราะหนังเข้าฉายตั้งแต่ปี 2000 ความเก่าแก่ของหนังกลายเป็นคลาสสิคและจากนั้นก็เหมือนจริงว่าในเวลานี้พอประมาณด้วยเรื่องของ “Real Socail” ความอวดรวย ความอิจฉาริษยาที่หนังถ่ายทอดนั้น เป็นตัวกึ่งกลางมาจนกระทั่งในช่วงเวลานี้เลยว่า เรื่องแบบนี้มันยังมีอยู่จริงแถมทวีความรุนแรนมากกว่าเดิม และก็หนังหัวข้อนี้ก็สามารถใช้ส่วนประกอบนั้นมาเล่าได้อย่างประจวบเหมาะ

ไม่ใช่แค่สังคมกระแดะกระแด๋และก็ช่วงชิงเพียงอย่าเดียวที่หนังต้องการจะสื่อ แม้กระนั้นหนังลงรายละเอียดเชิงลึกในด้านของการฉกฉวยตำแหน่งทางธุรกิจ การประลองที่ยังมีให้เห็นในช่วงปัจจุบัน ซึ่งหนังทำให้เห็นว่านี่เป็นธรรมชาติของคน ที่ถูกใจต้องการให้ตัวเองเป็นจุดสนใจบางครั้งก็อาจจะเพื่อลดจุดด้วยตัวเองแล้วก็ไต่เต้าเองขึ้นมาในจุดยืนที่มีคุณค่าในสังคม ผู้แสดงหลักอย่าง แพทริค เขาก็คือมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่เรียกว่าเป็นคนอิจฉาก็ได้

แลเห็นคนที่มีมากกว่าตัวเองก็อยากได้อยากมี ไม่ว่าจะเป็นความเลิศหรูหรือรสนิยมต่างๆเขาเลยจำต้องทำทุกๆอย่างเพื่อตัวเองมีค่าและจากนั้นก็ดูดี มองดูสง่างามในสายตาคนอื่นสิ่งที่น่าสนใจในสิ่งที่จำเป็นไต่ดาวของแพทริคคือความยอดเยี่ยมในการแต่งตัวและก็การดูแลตัวเองแบบขั้นสุด เขาไม่ต้องการให้เกิดจุดบกพร่องอะไรก็ตามในชีวิตของเขา ทุกๆอย่างในหัวถึงเท้าของเขาจำเป็นจะต้องดูดี No Dirty เด็ดขาด

ดูไปดูมาก็เปรียบเสมือนคนมีเงื่อน แต่นี่แหละเป็นต้นกำเนิดของหัวข้อนี้ เพราะว่าด้วยความอุตสาหะที่มันมากเกินความจำเป็นยามช่วงเวลากลางวันเขาก็คือชายผู้ชายที่ดูดี ดูสะอาดแล้วก็มีชีวิตที่Perfect ถึงแม้เมื่อตกลางคืน ความวิริยะในการปฏิบัติ “ดัดจริต” ก็เปลี่ยนเป็นฆาตราดกระจัดกระจายรโรคทางจิตที่ต้องการจะระบายความคับโกรธเคืองในใจกับการใช้ชีวิตที่ไม่เป็นตัวเอง

ความโรคทางจิตสุดขั้นของนักแสดงนำอย่าง คริสเตียน เบลล์ทำให้หนังดูน่าจำและจากนั้นก็น่าติดตามเยอะขึ้นเรื่อยๆ เรื่องนี้ถือว่าสร้างชื่อให้เขาโด่งดังอย่างใหญ่โตด้วยการตีบทฆาตกรหน้าหล่อแตกเรี่ยราด เขาทำให้บทโรคทางจิตของฆาตกรทวีความโรคทางจิตเข้าไปด้วยการใช้อินเนอร์กับบทอย่างยิ่ง american psycho คะแนนเรื่องราว 9/10 เนื่องจากหนังค่อนข้างจะนานแล้ว ในเรื่องของProductionรวมถึงดนตรีประกอบอาจจะไม่ทันสมัยเยอะแค่ไหน

american psycho

รีวิวหนัง “The Equalizer 3 พญายมไม่มีเงา 3” เอื่อยเฉื่อยสู่ทางเกษียณอายุ แต่ว่ายังดุเดือดไม่ธรรมดา

เขากลับมาอีกที แล้วก็คราวนี้ดูเหมือนจะเป็นครั้งทิ้งทวนสู่ทางการเกษียณอายุความดุเดือดแบบไม่มีซึ่งความปราณีกับภาคใหม่ “The Equalizer 3 พญายมไม่มีเงา 3” ที่ยังคงได้โอกาสมผู้ผลิตแล้วก็ดารานำชุดเดิม มาวาดลวดลายความทริลเลอร์แบบดีเลิศๆถือได้ว่าเป็นการผนึกกำลังกัน eslblogcafe เพื่อนำไปสู่จุดหมายที่สวยสดงดงามของหนังชุดนี้กับฐานะหนังภาคหลักนั่นเอง

เล่าราวของ โรเบิร์ต แมคคอลล์ ต่อจากภาคก่อนๆนับจากทอดทิ้งชีวิตในฐานะมือสังหารของรัฐบาล เขาก็ได้เจอกับความเหนื่อยยากสำหรับเพื่อการที่จะอะลุ้มอล่วยกับเรื่องเลวร้ายที่เขาเคยทำไปในอดีตกาล รวมทั้งศึกษาและทำการค้นพบกระบวนการอยู่กับมันด้วยการปรนนิบัติความถูกต้องในฐานะผู้ถูกข่มเหง ก่อนที่จะเขามาอาศับอยู่ที่บ้านในอิตาลีตอนใต้ ที่ซึ่งเขาศึกษาและทำการค้นพบเพื่อนฝูงใหม่ที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของผู้ร้ายแคว้น

ขณะที่สถานการณ์ร้ายแรงขึ้น แมคคอลล์ ทราบว่าสิ่งที่เขาจำเป็นต้องทำก็คือ จำเป็นต้องปกเพื่อนฝูงของเขาด้วยการจัดการมาเฟีย แต่ถ้าว่ากันที่เรื่องราวแล้ว นี่ฯลฯฉบับของหนังฆาตกรโรคจิตที่ดังและมีชื่อเสียงมากๆในยุคนั้น ด้วยการดำเนินเรื่องที่ไม่ยืดชักช้าแล้วก็การเขียนบทให้ผู้ชมเบาๆซึมลึกไปกับความรู้สึกนึกคิดและความรู้สึกของผู้ร้ายแน่ๆว่ายังคงจะมี “อวงตวน ฟูควา”

ผู้กำกับคู่บารมีที่ปลุกปั้นแฟรนไชส์นี้มาตั้งแต่ต้น ยังกลับมารับหน้าที่เดิมของตนอีกที พร้อมด้วยการใส่ลีลาท่าทางและก็ท่าทางที่ออกจะเป็นสไตล์ที่ไม่เหมือนกับทั้งยัง 2 ภาคที่ผ่านมาไปนิดเดียว ด้วยการไล่เรียงจังหวะของหนังอย่างค่อยๆเป็นค่อยๆไป เรื่อยๆใดๆก็ตามคล้ายกับเป็นผู้แทนของความช้าลงของผู้แสดงหลัก อย่าง โรเบิร์ต แมคคอลล์ ที่เปลี่ยนเป็นมือสังหารที่วัยโรยราขึ้นไปเรื่อยแล้วมัง

เอาตามจริง The Equalizer 3 ภาคนี้อาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีตอนจังหวะการเล่าเรื่องที่ออกจะยืดยาดและก็เอื่อยเฉื่อยแตกต่างจากภาคก่อนหน้าที่ผ่านมา ถึงจะค่อนข้างจะช้า แต่ว่าหนังก็ยังคงซึ่งไว้เอกลักษณ์ของหนังชุดเอาไว้ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิริยาอาการที่แสนแยบคายที่หยอดใส่เข้าไปก้าวหน้า กับท่าทางฉากแอคชั่นต่างๆที่เหมาะเจาะพอดี และก็ยังคงรักษาเส้นเรื่องแล้วก็ค้างแรกเตอร์ความดุเดือดของ โรเบิร์ต แมคคอลล์ เอาไว้ได้อย่างเห็นได้ชัด

บทหนังของ “ริชาร์ด เว็งก์” บางทีอาจจะมิได้หวือหวาอะไร เพราะว่าเต็มไปด้วยสูตรสำเร็จแบบเดิมๆแล้วก็พล็อตเรื่องก็แสนจะปกติ แม้ว่าจะพากเพียรทำให้มันแยบคายและตาม แม้กระนั้นในส่วนประกอบของผู้แสดง โรเบิร์ต แมคคอลล์ ก็ยังทำเป็นดีอยู่เช่นเดียวกัน บทสร้างให้เขามีเนื้อมีหนัง มีอารมณ์ แล้วก็ความเป็นคนเยอะขึ้น เพียงแค่เสียดายน้อยที่พล็อตรองและก็ส่วนประกอบเสริมต่างๆของหนังยังคงค่อนข้างจะมองไม่รัดกุม ที่จะสร้างอารมณ์ซาบซึ้งใจได้ไปสักนิด

“เดนเซล วอชิงตัน” ก็คือถ่ายทอดตัวละครนี้ได้ออกมาในรูปแบบเขาและเสน่ห์ของเขา คืออาการพูดน้อยแต่ต่อยหนัก แม้ว่าในภาคนี้เขาน่าจะมีบทพูดที่เยอะกว่าทุกภาคแล้วด้วยซ้ำ อีกทั้งยังมีความใจและรอยยิ้มมากกว่าทุกเรื่องในแฟรนไชส์ด้วย การดีไซน์บทของเขายังคงเป็นมืออาชีพ american psycho และรับมือกับบทบาทนี้ได้เป็นอย่างดี แทบไม่มีอะไรที่ติดขัดเลย

ในขณะที่นักแสดงสมทบคนอื่น ๆ อย่าง “ดาโกตา แฟนนิง” ก็ถือว่าถ่ายทอดได้ดี เพียงแต่แอบเสียดายที่บทของเธอค่อนข้างจะไม่มีอะไรสับสน ใส่เข้ามาเหมือนจะมีนัยยะสำคัญบางอย่าง แต่ท้ายที่สุดหนังก็แค่หยิบเข้ามาเติมให้ดูเต็มและมีอะไรเพิ่มขึ้นเท่านั้น เช่นเดียวกับ “ยูจีนิโอ มัสตรันเดรีย”, “เดวิด เดนแมน” หรือ “ไกอา สโคเดลสลาโร” ก็มาเป็นแค่ตัวละครเสริมแบบผิวเผินไปนิด

My Review

Review Form...

Reviews

Loading Reviews...